วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติส่วนตัว

ประวัติส่วนตัว++ปฏิทิน


ชื่อ น.ส. จำลองลักษณ์ ทับเจริญ


ชื่อเล่น นุ่มนิ่ม (ส้ม)


คณะ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง


สาขา PA








ปฏิทิน

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ ต้มไข่ให้น่าทาน

วิธี ต้มไข่

ใส่น้ำตั้งไฟให้ น้ำเดือด ก่อน แล้วนำ ไข่ ใส่ลงไป จับเวลา ประมาณ 4 นาที ตักไข่ขึ้นมา นำไปแช่ใน น้ำเย็น ทันที จะทำให้ ปอกเปลือกไข่ ได้ง่าย
ก็จะได้ไข่แดง ที่สุกแบบ เหลวนิด ๆ น่ากิน เหมือน มะตูม/น้ำมะตูม/ยางมะตูม (สมมุติว่าไข่แดงแข็งไป หรือเหลวไป ก็จับเวลา เพิ่มขึ้นหรือลดลงครั้งละ 20 วินาที ก็จะได้ ไข่ต้ม ที่ ไข่แดง เหลวกำลังดี ที่ตรงกับความต้องการของแต่ละคน)



ข้อคิดชีวิตมีสุข

ข้อคิดชีวิตมีสุข



1. เราไม่ได้มีชีวิตเพื่อการเฝ้านั่งเสียใจร่ำไห้ หรือ พูดถึงแต่สิ่งที่เราทำผิดพลาดในอดีต รู้จักให้อภัยตัวเองในสิ่งที่เราทำผิดพลาด แล้วไม่นึกถึงมันอีก

2. เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่น ในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดในอดีต แล้วไม่พูดถึงมันอีก

3. การปล่อยวางไม่ใช่เป็นการยอมแพ้ ตรงกันข้าม เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากส่วนลึกของหัวใจของเราวันละน้อย เพื่อเอาชนะความอ่อนแอ

4. ชีวิตไม่ได้เติบโตจากการทำให้ทุกสิ่งได้ดั่งใจของเรา แต่เป็นการยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเราอย่างกล้าหาญ รักและเข้าใจทุกสิ่งที่เราได้ตัดสินใจทำลงไปทุกครั้ง

5. เรียนรู้ความจริงว่าเราไม่สามารถบังคับผู้อื่นให้คิดและทำในสิ่งที่เราต้องการได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ยังทำให้เป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้เลย

6. อย่าเสียเวลาคิดแค้นเคืองโกรธในการกระทำของผู้อื่นที่ส่งผลให้เราทุกข์ใจ ให้อภัยเขาเสีย และหากอยากรู้สึกดีขึ้น ก็นึกถึงคำสอนในพุทธศาสนาว่า ใครทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลนั้นได้ด้วยตนเอง

7. วัตถุหรือภาพลวงตาภายนอกไม่เคยสามารถเติมเต็มหัวใจใครได้ การตั้งหน้าตั้งตาหาวัตถุ หรือความพึงพอใจจากการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพื่อหวังว่าจะทำให้เรารู้สึกเต็มและมีความสุข นั่นเป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ การรับวัตถุทำให้เรามีความต้องการไม่รู้จบ ขณะที่การได้รับความรักความเข้าใจจากคนที่รักอย่างเต็มเปี่ยมจะทำให้เรามีหัวใจที่ "เต็ม" จนไม่ต้องไขว่คว้าหาวัตถุมาเติมเต็มหัวใจอีก



ที่มา : จากหนังสือ "เข็มทิศหัวใจ"

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการนอนหลับอย่างเต็มที่

เคล็ดลับการนอนหลับอย่างเต็มที่



๑. อย่าเข้านอนเพราะว่า “ถึงเวลานอนแล้ว”: แต่จงเชื่อนาฬิกาในตัวคุณเอง โดยสังเกตจากร่างกายจะสื่อให้ทราบเมื่อถึงเวลา อย่างเช่น การหาวนอน อาการแสบตา ความรู้สึกประเภท "ลานหมด" หัวจะทิ่มลงท่าเดียว หนังตาเริ่มหย่อน ความรู้สึกว่าจะหลับแล้ว แต่ถ้าคุณพลาดสัญญาณต่างๆ เหล่านี้ไปแล้ว คุณจะต้องรอไปอีกอย่างน้อย ๒-๓ ชั่วโมง กว่าที่จะให้ร่างกายง่วงขึ้นอีกครั้ง เพราะคนเราต่างมีความรู้สึกง่วงนอนต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าง่วงนอนแล้วก็ควรนอนเลย... เพื่อจะได้ไม่เกิดอาการนอนไม่หลับ

๒. อย่านอนผิดเวลาทุกวัน: อย่างถ้าคุณรับประทานอาหารเวลาเดิม ก็แนะนำว่าควรเข้านอนเวลาเดิมเป็นประจำ อย่างเช่น ปกตินอน ๔ ทุ่ม ก็ขอให้นอน ๔ ทุ่มทุกวัน มิฉะนั้นจะเกิดความเสี่ยงที่จะง่วงนอนผิดเวลา

๓. ทดลองหลับแวบเดียว: อย่างเช่น คุณนั่งบนเก้าอี้โซฟา มือหนึ่งถือช้อนกาแฟ ตรงปลายเท้าของคุณวางจานโลหะไว้ ๑ ใบ เมื่อเผลอหลับ มือนั้นก็จะปล่อยช้อนหล่นลงมาบนจานโลหะ ส่งเสียงดัง มันเป็นการปลุกให้คุณตื่น คำอธิบายเมื่อหลับตา คุณจะสามารถตัดข้อมูล ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งควรฝึกวันละหลายๆ ครั้ง

๔. พักกลางคัน: เป็นการพักเพื่อลดความเหนื่อยล้า ง่ายๆ ด้วยการ นั่งสบายๆ อยู่บนโต๊ะทำงานของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่ไขว้กัน หรือ นอนท่าเหยียดยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย สัก

๕ นาที๕. สะสมการนอน "ช่วงสั้น" ในวันทำงาน: ถ้าจะให้นั่งหลับเวลาทำงานก็คงดูไม่เหมาะสม คุณก็เปลี่ยนเป็นเก็บสะสมความอยากนอนของคุณไว้ เพื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณจะได้นอนพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่ม ใช้หนี้ความเหนื่อยล้าตลอดทั้งสัปดาห์

๖. งดออกกำลังกายในตอนเย็นหลังเลิกงาน: ความเข้าใจผิดๆ จากการเล่นกีฬาหลังเลิกงาน จะทำให้เหนื่อยจนคุณอยากจะนอน คุณเข้าใจผิด เพราะการออกกำลังกายช่วงหัวค่ำจะทำให้ร่างกายสดชื่นตื่นตัวตากหาก

๗. ฝึกชี่กง (ลมปราณ): ชี่กงเหมาะมากสำหรับสงบความคิด จิตใจ และขจัดความอ่อนเพลีย ในไม่ช้าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำท่าที่ชวนให้ง่วงนอนเป็น

๘. รับประทานอาหารค่ำแต่หัวค่ำ: แต่ควรหลีกเลี่ยงการเข้านอน "ขณะยังย่อยอาหารอยู่” ควรรอให้ผ่านไปสัก ๒-๓ ชั่วโมงหลังอาหารมื้อนี้ แล้วจึงค่อยนอน

๙. เดินย่อยอาหารมื้อค่ำ: เป็นการรอเวลาจากข้อ ๘ ในการรอเข้านอน...

๑๐. เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำชา: เป็นตัวทำลายความง่วง... และบางครั้งระบบเผาผลาญบางคนต้องใช้เวลา ๑๒- ๒๔ ชั่วโมงเพื่อกำจัดกาแฟเพียงถ้วยเดียว

๑๑. การหาว: จะช่วยผ่อนคลายได้ และทำให้อยากนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า ได้ยืดแขนยืดขาด้วย

๑๒. ดื่มเครื่องดื่มชาสมุนไพร: ที่มีคุณสมบัติในการกล่อมประสาทอย่าง ชาคาโมมายล์ ลาเวนเดอร์….จะช่วยให้นอนหลับได้

๑๓. ลดปริมาณอาหาร และ กลูไซด์ (อินทรีย์สารในคาร์โบไฮเดรต) : มื้อค่ำ หลีกเลี่ยงน้ำตาล ของหวานที่หวานจัด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม… เพราะเสี่ยงที่จะเสริมให้โลหิตมีปริมาณกลูโคสต่ำกว่าปกติในตอนกลางคืน

๑๔. รับประทานแอปเปิ้ล ผักกาดหอม และผลิตภัณฑ์จากนม: อาหารเหล่านี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักใน ตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามินและเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน ควรเลือกผลิตภัณฑ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่างโยเกิร์ต (นมเปรี้ยว) นมข้น และเนยแข็งสีขาว ดีกว่าพวกเนยแข็งที่ไขมันสูงและผ่านการหมักเชื้อ สำหรับอาหารค่ำ ควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมู เนื้อ เครื่องเทศและเครื่องปรุงรส

๑๕. ก่อนนอนอย่าดื่มน้ำมากเกินไป: ตั้งแต่เวลา ๑๘ นาฬิกาเป็นต้นไปจงลดการบริโภคของเหลว แต่ระหว่างวันควรดื่มน้ำมากๆ ค่ะ

๑๖. เสียงรบกวน: เสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ลดทอนการนอนหลับ ลองหาสำลีอุดหูหรือติดกระจกซ้อนสองชั้น ปูพรมตลอดห้อง ใช้เพดานเก็บเสียง...

๑๗. หัวเราะวันละหลาย ๆ ครั้ง: หัวเราะเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาท สำหรับบางคน "หัวเราะนาทีเดียวมีค่าเท่ากับการผ่อนคลายร่างกาย ๒๕ นาทีเต็ม"

๑๘. ที่นอนเป็นเรื่องสำคัญ : เลือกฟูก ขนาดที่นอน ขนาด ๑๖๐ คูณ ๒๐๐ ซ.ม. กว้างกว่าฟูกมาตรฐานขนาด ๑๔๐ คูณ ๑๙๐ ซ.ม. หรือไม่ก็ไปหาฟูกแบบอเมริกัน เลือกตามชอบใจว่าจะเป็น คิงไซส์ ขนาด ๑๙๐ คูณ ๒๐๐ ซ.ม. หรือแคลิฟอร์เนียนคิงไซส์ ขนาด ๑๘๐ คูณ ๒๑๐ ซ.ม.

๑๙. ตรวจสอบทิศทาง สำหรับการวางเตียงนอน: คือให้ศีรษะหันไปทางทิศเหนือ เท้าไปทางทิศใต้ตามทิศทาง ของคลื่นแม่เหล็กโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้ศีรษะหันไปทางทิศตะวันออก

๒๐. สีผนังห้องนอน: การใช้สีฟ้ากลางๆ เป็นสีสำหรับ การนอนที่ดีที่สุด

๒๑. แสงสว่าง: ลดไฟฟ้าในห้องนอนของคุณ หรือปิดตาสักครู่ก่อนดับไฟ จะช่วยให้ร่างกายปรับความสมดุลง่ายขึ้น โดยช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงคือ ๒-๓ นาที และปฏิบัติกลับกันในตอนเช้า

๒๒.ไม่ควรนำต้นไม้ใบเขียวไว้ในห้องนอน: เพราะต้นไม้ที่อยู่ภายในห้องนอนจะมาแย่งออกซิเจนเรา ถ้าอยากได้ต้นไม้มาตั้งในห้องนอนจริงๆ ก็ควรเป็นต้นไม้ปลอมดีกว่า...

๒๓. วารีบำบัด: สปาบางแห่งเสนอวิธีบำบัดที่ช่วย สำหรับการนอนหลับ ประกอบด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยการแช่น้ำในอ่างที่ผสมหัวน้ำมันดอกลาเวนเดอร์ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

๒๔. อุณหภูมิภายในห้องนอน: ควรให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง ๒๐ ถึง

๒๕ องศาเซลเซียส๒๕. ควบคุมการหายใจ: ร่างกายเพิ่มการหายใจในระดับทรวงอกเอง หายใจเข้าช้าๆ และลึกๆ โดยใช้ท้องแบบสบายๆ ไม่ต้องฝืน และต่อเนื่องกัน จากนั้นหายใจออกแล้วหยุดไว้สองวินาที ก่อนหายใจใหม่อีกครั้ง การหยุดช่วงสั้นๆ ทำให้ระบบประสาทสงบลง ให้ปฏิบัติการหายใจในท่านอนเหยียดยาวก่อนนอน

๒๖. น้ำมันหอม : ระเหยผสมลงไปในน้ำมันฐาน หรือครีมที่เป็นกลาง ถ้าชอบจะเพิ่มน้ำมันหอมระเหย (ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมาร์จอแลน ดอกบาซิลิก หรือเนโรลี) โดยหยดผสมไปกับน้ำมันฐาน (น้ำมันหอม ระเหยมากที่สุด ๕ เปอร์เซ็นต์ น้ำมันฐานถ้าเป็นไปได้ ใช้ชนิดบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ตามธรรมชาติ) โดยใช้นวดตัว และเน้นที่เท้า กลุ่มเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือต่อมน้ำเหลือง เทคนิคอื่นในการคลายเครียดได้แก่ การใช้ฝ่ามือทั้งสองนวด โดยกางนิ้วออก นวดศีรษะเบาๆ ไล่จากคางขึ้นไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับลงมาที่ท้ายทอย คุณนวดที่หางตาได้ด้วยเช่นกัน

๒๗. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ: วิธีนี้ช่วยลดภาวะตึงเครียด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ การนอนง่ายคือ บังคับควบคุมความรู้สึกของสายตาและไม่คิดอะไรขณะนอนหลับ ระบบสัมผัสทั้ง ๕ ของเราจะได้พักผ่อนเต็มที่ เริ่มต้น จากการมอง การรับกลิ่น การรับรส การสัมผัส และสุดท้ายการได้ยิน

๒๘. อาบน้ำร้อน: การทำเช่นนี้มี ปฏิกิริยากล่อมประสาทให้ง่วงนอน (สำหรับแปดในสิบหน) วิธีการคือ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก ๓๕ ถึง ๓๙ องศาเซลเซียส และคุณสามรถเติมสมุนไพร สกัดลงในอ่างน้ำร้อนได้ แต่เพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น เพราะมีเพียงความร้อนเท่านั้นที่ทำปฏิกิริยา คุณเพียงแต่แช่เท้าในน้ำร้อนก็ได้ ซึ่งจะต่อเนื่องถึงอุณหภูมิของร่างกาย และมีผลผ่อนคลายกลุ่มร่างแหเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือหลอดน้ำเหลือง ให้ปฏิบัติก่อนเข้านอน

๒๙. วางมือทั้งสองข้างบนหน้าท้อง: ความร้อนจากมือช่วยผ่อนคลาย อวัยวะภายในช่องท้องที่ขวางการไหลเวียนพลังงาน

๓๐. อย่าคาดหมายล่วงหน้า: พยายามอย่านึกคิดล่วงหน้าถึงการนัดหมาย เพราะว่าความกังวล จะทำให้คุณนอนไม่หลับ

๓๑. ผ่อนคลายตัวเองด้วยการหลับตา: จินตนาการถึงการอาบน้ำ ฝักบัวเย็นฉ่ำที่ราดรดลงมาจากศีรษะแล้วไหลไปตามลำคอ นำพาความเครียดทั้งวัน ที่ผ่านมาให้ไหลไปตามทางน้ำ หรือใช้วิธีหายใจลึกๆ ผสานกับการคิดแต่ในแง่ดี ("ฉันยอมหลับอย่างวางใจ" "ฉันรู้สึกผ่อนคลาย เต็มที่")

๓๒. บอกเลิกกิจกรรมทุกอย่าง: ๓ ชั่วโมงก่อนนอน ที่คร่ำเคร่งและใช้สติปัญญา หยุดอ่านหนังสือถ้ามันจุดจินตนาการของคุณให้ทำงาน ผลักดันให้ฝันหรือใช้ความคิดใคร่ครวญ

๓๓. สังเกตสิ่งทำแล้วหลับได้ดี: เพื่อจะได้นำมาใช้ใหม่ ในค่ำคืน ที่นอนไม่หลับสักที



ที่มา : http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06056.php

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี



ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหาร นก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!


http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603

ขนตาปลอม

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

เตือนภัยรายวัน


ขนตาปลอมเสี่ยงบอด (ไทยรัฐ)

การนำสิ่งแปลกปลอมวัสดุต่างๆมาติดที่ขนตา นับว่าเสี่ยงอันตรายต่อนัยน์ตา เป็นตัวทำลายดวงตาทางอ้อม เนื่องจากอาจทำให้เกิดสิ่งสกปรกมาสะสมบริเวณหนังตา...
นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันกระแสแฟชั่นใส่ขนตาปลอมกำลังฮิต โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น เพื่อเสริมบุคลิกให้ดูดีมีเสน่ห์ ทั้งนี้ การนำสิ่งแปลกปลอมวัสดุต่าง ๆ มาติดที่ขนตา นับว่าเสี่ยงอันตรายต่อนัยน์ตา เป็นตัวทำลายดวงตาทางอ้อม เนื่องจากอาจทำให้เกิดสิ่งสกปรกมาสะสมบริเวณหนังตา และหากเก็บรักษาขนตาปลอมไม่ถูกวิธี ไม่สะอาด เมื่อนำมาติดที่ขอบตาซึ่งติดกับขนตา จึงมีโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ดวงตา อาจก่อเกิดอาการ แพ้ระคายเคือง อักเสบ มีโอกาสเสี่ยงถึงขั้นตาบอดได้ซึ่งขนตาปลอมและกาวติดขนตาที่วางจำหน่ายอยู่ ขณะนี้มีราคาตั้งแต่ 10-300 บาท มีทั้งที่ผลิตได้ตามมาตรฐานถูกต้องตามหลักวิชาการ และไม่ได้มาตรฐาน จึงอยากเตือนให้ผู้ที่ติดขนตาปลอมอยู่ หรือกำลังจะเริ่มหัดติดให้ระมัดระวัง เนื่องจากขนตามีความสำคัญต่อดวงตา มีหน้าที่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับดวงตา.